วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Omega-3 ใน จ้อนท์แคร์(jontkare)

กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ถือว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญยิ่งต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ซึ่งส่วนใหญ่กรดไขมันชนิดนี้พบได้ในไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันปลา ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งจากธรรมชาติที่พบมากและมีคุณภาพดี

            ปัจจุบันจึงมีการยืนยันทางการแพทย์ถึงประโยชน์ที่สำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น
    1.   โรคหัวใจและสมองขาดเลือด
    2.   ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ลดความดันโลหิต
    3.   ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์
    4.   ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความเสื่อมของสมอง โรคซึมเศร้า และบำรุงสายตา
    5.   บรรเทาอาการของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สะเก็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง
    6.   ป้องกันหรือบรรเทาโรคหอบหืด
    7.   ปวดไมเกรน
    8.   เบาหวาน
       กรดไขมันในกลุ่ม Omega-3 Polyunsaturated Fatty Acid ซึ่งมีกรดไขมันที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ
   1.   EPA (Eicosapentaenoic Acid) กรดไขมันชนิดนี้ มีส่วนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุในการเกิดโรคหัวใจและสมองอุดตัน
   2.   DHA (Docosahexaenoic Acid) กรดไขมัน DHA มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความเสื่อมของสมอง การเรียนรู้ และความจำ รวมถึงระบบสายตา ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

Omega-3 สำคัญต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
   1.   ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด น้ำมันปลาจะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและลดไขมันในเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจและสมอง ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รับประทานน้ำมันปลาวันละ 3,000 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 200-400 ยูนิต สามารถลดอัตราการตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลวลง 15% เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานน้ำมันปลา
   2.   ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลา เป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) อันได้แก่ พรอสตาแกลนดิน-3 (Prostaglandins-3) และทรอมบอกแซน-3 (Thromboxan-3) ซึ่งสารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด จึงมีส่วนช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
  3.   ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงในเลือด ถือได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญในการก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นโรคที่ได้คร่าชีวิตประชากรโลกปีละหลายแสนคน หรือปีละหลายพันคนสำหรับประชากรไทย ซึ่งจากการที่ได้มีการรวบรวมผลการศึกษาทางการแพทย์เกี่ยวกับภาวะไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงและการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของน้ำมันปลา  ซึ่งจากผลการวิจัยสรุปว่าน้ำมันปลาจะมีประสิทธิภาพที่ดีในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ได้ประมาณ 20%-50% ซึ่งประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาที่ใช้ในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ และถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงถึง 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร น้ำมันปลาก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ คือ ความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายสามารถใช้ร่วมกับยา ในการลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงทั้ง 2 ชนิด
  4.   ลดความดันโลหิตสูง ผลในการลดความดันโลหิต สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มาก ซึ่ง John Hopkins Medical School ได้สรุปรวบรวมผลการศึกษาจาก 17 รายงานการศึกษาทางคลีนิค พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาประมาณ 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถช่วยลดความดันล่าง (Diastolic pressure) ได้ 3.5 มิลลิเมตร และความดันบน (Systolic pressure) ได้ถึง 5.5 มิลลิเมตรปรอท เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า-3ในน้ำมันปลา จะช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงมีผลให้ความดันโลหิตลดลง โดยน้ำมันปลาจะไม่มีผลต่อความดันในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติ
5.   ลดอาการข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์ รายงานเกี่ยวกับน้ำมันปลาต่ออาการข้อเสื่อม (Osteoarthritis) และข้อรูมาตอย์ (Rheumatoid arthritis) พบว่าน้ำมันปลามีผลลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบของข้อ เช่น Interleukin-1, Tumor necrosis factor และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) ในน้ำมันปลา ยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสาร PGE 3 ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบของข้อ โดยรายงานการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Surgical Neurology ระบุว่าน้ำมันปลาสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดคอ หรือปวดหลังเรื้อรัง โดยทำการศึกษากับผู้ป่วย 250 คน รับประทานน้ำมันปลาวันละ 2.6 กรัม ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นลดปริมาณลงเหลือวันละ 1.2 กรัม พบว่าหลังจากรับประทานน้ำมันปลา 75 วัน ผู้ป่วยประมาณ 59% สามารถเลิกรับประทานยาแก้ปวดต่างๆ ผู้ป่วยประมาณ 60% พบว่าอาการปวดหลังและปวดคอลดลง และผู้ป่วยกว่า 88% รู้สึกพึงพอใจกับผลที่ได้รับและยืนยันที่จะรับน้ำมันปลาต่อ
            ผลการศึกษาจาก Harvard Medical School ได้ทำการรวบรวมผลการศึกษาจาก 10 การศึกษา ในผู้ป่วยไขข้ออักเสบ 368 ราย ที่รับ   ประทานน้ำมันปลา พบว่าช่วยลดอาการเจ็บและข้อติดตรึงในตอนเช้า

            ดังนั้นการรับประทาน Omega-3 จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเสื่อม ข้ออักเสบเรื้อรังเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด แทนที่การรับประทานยาแก้ปวด NASIDs ซึ่งจะมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร ตับ และไตค่อนข้างมาก
   6. ลดเซลล์สมองเสื่อม ป้องกันโรคสมองเสื่อม จากการศึกษาพบว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ  DHA (Docosahexaenoic Acid) ทำให้กรดไขมัน DHA ในน้ำมันปลา มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อสมอง ผลวิจัยทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัย UCLA ของอเมริกา พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ (Azheimer) ได้ เนื่องจากการศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในคนสูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าระดับ DHA ที่ลดต่ำลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม และยังพบว่าสำหรับคนไข้อัลไซเมอร์ DHA จะช่วยเพิ่มสาร LH11ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นตัวช่วยลดการเกิดการสร้าง plaques (เส้นใย หรือ ไฟบริล) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำลายใยประสาทส่วนความจำ คนสูงอายุที่มีการสร้างสารนี้เยอะจะทำให้ความจำเสื่อม และหลงลืม
   7.ลดภาวะซึมเศร้า จากการวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภคปลาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะสมดุลของกรดไขมันในร่างกายมีผลต่อความรุนแรงในการเกิดโรคซึมเศร้า คนที่มีระดับของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ และโอเมก้า-6 สูง จะมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าปกติ ซึ่งการรักษาคนไข้ซึมเศร้าในโรงพยาบาลพบว่า DHA ให้ผลในการรักษาอย่างมีนัยสำคัญ
   Omega-3 หลากหลายประโยชน์ต่อสุขภาพ
   1.   โรคเบาหวาน เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่สองที่มักพบในผู้ใหญ่ที่อ้วน ซึ่งนักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์ค้นพบว่า กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน
   2.   ปวดไมเกรน กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพรอสตาแกลนดิน และลดการหลั่งสารซีโลโทนิน ทำให้การเกาะตัวของเกร็ดเลือดลดลงในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมองลจึงมีส่วนช่วยลดอาการไมเกรนได้
   3.   หอบหืด การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ที่เป็นตัวการสำคัญให้เกิดอาการของหอบหืดขึ้น คือ สารลิวโคไตรอิน และพรอสตาแกลนดิน ดังนั้นการรับประทานนักมันปลาอย่างต่อเนื่องจากช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้



       ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์(jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง
     การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ในรายที่อ้วยมาก ก็ช่วยลดแรงน้ำหนักตัวที่กระทำต่อข้อได้เช่นกัน นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้
          จ้อนท์แคร์(jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้
         ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์(jontkare) สามารถป้องกันและปก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง
ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท
ดูข้อมูลที่   http://jontkaremir.blogspot.com
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่
คุณ วีระชัย  ทองสา    โทร.084-6822645 , 085-0250423
ID Line : weerachaicoffee
อีเมล์  weerachai.coffee@hotmail.com



   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น