กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว
ถือว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญยิ่งต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 ซึ่งส่วนใหญ่กรดไขมันชนิดนี้พบได้ในไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันปลา
ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งจากธรรมชาติที่พบมากและมีคุณภาพดี
ปัจจุบันจึงมีการยืนยันทางการแพทย์ถึงประโยชน์ที่สำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3
ต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น
1.
โรคหัวใจและสมองขาดเลือด
2.
ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด
ลดความดันโลหิต
3.
ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อเสื่อม
ข้อรูมาตอยด์
4.
ช่วยบำรุงสมอง
ป้องกันความเสื่อมของสมอง โรคซึมเศร้า และบำรุงสายตา
5.
บรรเทาอาการของโรคผิวหนังบางชนิด
เช่น สะเก็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง
6.
ป้องกันหรือบรรเทาโรคหอบหืด
7.
ปวดไมเกรน
8.
เบาหวาน
กรดไขมันในกลุ่ม Omega-3 Polyunsaturated Fatty
Acid ซึ่งมีกรดไขมันที่สำคัญอยู่
2 ชนิด คือ
1.
EPA (Eicosapentaenoic Acid) กรดไขมันชนิดนี้
มีส่วนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด
ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุในการเกิดโรคหัวใจและสมองอุดตัน
2.
DHA (Docosahexaenoic Acid) กรดไขมัน DHA มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา
ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความเสื่อมของสมอง การเรียนรู้ และความจำ รวมถึงระบบสายตา
ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
Omega-3 สำคัญต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
1.
ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด น้ำมันปลาจะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและลดไขมันในเลือด
จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจและสมอง
ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รับประทานน้ำมันปลาวันละ 3,000 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 200-400 ยูนิต
สามารถลดอัตราการตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลวลง 15% เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานน้ำมันปลา
2.
ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลา เป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) อันได้แก่ พรอสตาแกลนดิน-3 (Prostaglandins-3) และทรอมบอกแซน-3
(Thromboxan-3) ซึ่งสารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
จึงมีส่วนช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว
ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
3.
ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงในเลือด
ถือได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญในการก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ซึ่งเป็นโรคที่ได้คร่าชีวิตประชากรโลกปีละหลายแสนคน หรือปีละหลายพันคนสำหรับประชากรไทย
ซึ่งจากการที่ได้มีการรวบรวมผลการศึกษาทางการแพทย์เกี่ยวกับภาวะไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงและการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของน้ำมันปลา
ซึ่งจากผลการวิจัยสรุปว่าน้ำมันปลาจะมีประสิทธิภาพที่ดีในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด
ได้ประมาณ 20%-50% ซึ่งประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาที่ใช้ในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์
และถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงถึง 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร น้ำมันปลาก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
เพื่อช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ คือ
ความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายสามารถใช้ร่วมกับยา
ในการลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงทั้ง 2 ชนิด
4.
ลดความดันโลหิตสูง ผลในการลดความดันโลหิต
สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มาก ซึ่ง John Hopkins Medical
School ได้สรุปรวบรวมผลการศึกษาจาก 17 รายงานการศึกษาทางคลีนิค
พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาประมาณ 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน
สามารถช่วยลดความดันล่าง (Diastolic pressure) ได้ 3.5
มิลลิเมตร และความดันบน (Systolic pressure) ได้ถึง
5.5 มิลลิเมตรปรอท เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า-3ในน้ำมันปลา จะช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด
ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงมีผลให้ความดันโลหิตลดลง
โดยน้ำมันปลาจะไม่มีผลต่อความดันในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติ
5.
ลดอาการข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์ รายงานเกี่ยวกับน้ำมันปลาต่ออาการข้อเสื่อม
(Osteoarthritis) และข้อรูมาตอย์ (Rheumatoid
arthritis) พบว่าน้ำมันปลามีผลลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบของข้อ
เช่น Interleukin-1, Tumor necrosis factor และ EPA
(Eicosapentaenoic Acid) ในน้ำมันปลา
ยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสาร PGE 3 ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบของข้อ
โดยรายงานการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Surgical Neurology ระบุว่าน้ำมันปลาสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดคอ หรือปวดหลังเรื้อรัง
โดยทำการศึกษากับผู้ป่วย 250 คน รับประทานน้ำมันปลาวันละ 2.6
กรัม ในช่วง 2 สัปดาห์แรก
หลังจากนั้นลดปริมาณลงเหลือวันละ 1.2 กรัม
พบว่าหลังจากรับประทานน้ำมันปลา 75 วัน ผู้ป่วยประมาณ 59%
สามารถเลิกรับประทานยาแก้ปวดต่างๆ ผู้ป่วยประมาณ 60% พบว่าอาการปวดหลังและปวดคอลดลง และผู้ป่วยกว่า 88% รู้สึกพึงพอใจกับผลที่ได้รับและยืนยันที่จะรับน้ำมันปลาต่อ
ผลการศึกษาจาก Harvard Medical School ได้ทำการรวบรวมผลการศึกษาจาก
10 การศึกษา ในผู้ป่วยไขข้ออักเสบ 368 ราย
ที่รับ ประทานน้ำมันปลา
พบว่าช่วยลดอาการเจ็บและข้อติดตรึงในตอนเช้า
ดังนั้นการรับประทาน Omega-3 จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเสื่อม
ข้ออักเสบเรื้อรังเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด
แทนที่การรับประทานยาแก้ปวด NASIDs ซึ่งจะมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร
ตับ และไตค่อนข้างมาก
6. ลดเซลล์สมองเสื่อม ป้องกันโรคสมองเสื่อม
จากการศึกษาพบว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ DHA (Docosahexaenoic Acid) ทำให้กรดไขมัน DHA ในน้ำมันปลา
มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อสมอง ผลวิจัยทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัย UCLA ของอเมริกา
พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ (Azheimer)
ได้ เนื่องจากการศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในคนสูงอายุกว่า 1,000
คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าระดับ DHA ที่ลดต่ำลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม และยังพบว่าสำหรับคนไข้อัลไซเมอร์ DHA จะช่วยเพิ่มสาร
LH11ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นตัวช่วยลดการเกิดการสร้าง plaques
(เส้นใย หรือ ไฟบริล) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำลายใยประสาทส่วนความจำ
คนสูงอายุที่มีการสร้างสารนี้เยอะจะทำให้ความจำเสื่อม และหลงลืม
7.ลดภาวะซึมเศร้า จากการวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภคปลาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะสมดุลของกรดไขมันในร่างกายมีผลต่อความรุนแรงในการเกิดโรคซึมเศร้า
คนที่มีระดับของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ และโอเมก้า-6 สูง จะมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าปกติ
ซึ่งการรักษาคนไข้ซึมเศร้าในโรงพยาบาลพบว่า DHA ให้ผลในการรักษาอย่างมีนัยสำคัญ
Omega-3 หลากหลายประโยชน์ต่อสุขภาพ
1. โรคเบาหวาน เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่สองที่มักพบในผู้ใหญ่ที่อ้วน
ซึ่งนักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์ค้นพบว่า กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน
2.
ปวดไมเกรน กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพรอสตาแกลนดิน
และลดการหลั่งสารซีโลโทนิน ทำให้การเกาะตัวของเกร็ดเลือดลดลงในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมองลจึงมีส่วนช่วยลดอาการไมเกรนได้
3.
หอบหืด การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ
ที่เป็นตัวการสำคัญให้เกิดอาการของหอบหืดขึ้น คือ สารลิวโคไตรอิน และพรอสตาแกลนดิน
ดังนั้นการรับประทานนักมันปลาอย่างต่อเนื่องจากช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้
ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์(jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม
ได้ผลจริง
การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น
เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
ในรายที่อ้วยมาก ก็ช่วยลดแรงน้ำหนักตัวที่กระทำต่อข้อได้เช่นกัน
นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า
จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้
จ้อนท์แคร์(jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้
ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์(jontkare) สามารถป้องกันและปก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม
ได้ผลจริง
ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่
คุณ วีระชัย ทองสา โทร.084-6822645
, 085-0250423
ID
Line : weerachaicoffee
อีเมล์ weerachai.coffee@hotmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น